เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒o ส.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาประสบอุบัติเหตุ คนเวลาประสบอุบัติเหตุเวลามีภัยขึ้นมา ว่าเป็นกรรมๆ แล้วมันจะเป็นกรรมทุกอย่างไปเชียวเหรอ เราทำคุณงามความดีไว้ไม่มีเลยเหรอ มันเป็นอุบัติเหตุนะ คนเราเจออุบัติเหตุ เจอวาตภัย มันเป็นกรรม กรรมเก่าของเราสร้างสมมา

ดูนะ ดูสมัยครั้งพุทธกาล มีพระภาวนา พอภาวนาเสร็จแล้วภาวนาไปมันส่งออก พอมันส่งออกไปนี่เขาพยายามไปนะ ไปจ้างให้คนเชือดคอตาย สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าบอกเลยว่าเราจะวิเวก ห้ามคนเข้าไปเลย ๓ เดือน แล้วพระก็ภาวนากันภาวนากัน พอภาวนามันเห็นอสุภแล้วส่งออก แล้วขยะแขยง ไปจ้างให้ช่างตัดผม ให้พวกกัลบกเชือดคอๆ ให้บริขารเขาเชือดคอตายๆ พระพุทธเจ้าออกจากวิเวกมา ทำไมพระมันเบาบาง พระมันน้อยไปมาก ถามเพราะเหตุอะไร เพราะว่าพระเชือดคอตาย พระนี่พยายามเชือดคอตาย จ้างกันเอง เชือดคอตายกันเอง เพราะเป็นกลุ่มมากเลย นั่นนะเป็นเพราะเหตุใด เป็นการภาวนาด้วยนะ

เห็นไหม เวลากรรมมันเกิดขึ้นมาพระพุทธเจ้ายังหลบเลย หลบว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นมา แล้วย้อนกลับไปนี่ กรรมของพวกนี้เคยเป็นชาวบ้าน นี่ในตำรานะ เป็นชาวบ้านอยู่แล้วเคยทำก่ำทำซุ่มดักปลาไง แล้วเราดักปลาไว้ ชาวบ้านใช้นั้นทำมาหากินอยู่ เวลาเกิดตายๆ สร้างคุณงามความดีมาๆ สุดท้ายแล้วมาเกิดชาตินั้นเป็นพระสมัยพุทธกาล แล้วเชือดคอตายๆ เพราะทำกรรมของเขาไว้ อันนั้นกรรมนี้อยู่ในตำรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในพระไตรปิฎก

แต่กรรมของเรามันเป็นปัจจุบันก็มี ปัจจุบันคือเราทำคุณงามความดี กรรมดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา แล้วอุบัติเหตุมันเกิดขึ้นมานี่มันเป็นปัจจุบันก็ได้ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว ความไม่ประมาท ภิกษุทั้งหลาย เธอจงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด พิจารณาสังขารตลอดไป พิจารณาสังขาร ความคิด ความปรุง ความแต่ง กับพิจารณาสังขารร่างกายไป แล้วจะประสบความสำเร็จ ให้ย้อนกลับมาพิจารณาตลอดไป ไม่ให้มีความประมาทไง ถ้ามีความประมาทในปัจจุบันมันเป็นกรรมปัจจุบัน

กรรมแต่อดีตชาติขึ้นมานี่มันเกี่ยวกับอำนาจวาสนา เกี่ยวกับความเป็นไปของชีวิต ชีวิตบางคนก็ประสบความสำเร็จ มืดมาสว่างไป สว่างมามืดไป บางคนมาสว่าง เวลามาเกิดมาร่ำรวยมาก แต่เวลาถึงที่สุดแล้วรักษาไว้ไม่ได้ สว่างมามืดไป มืดมาสว่างไป คนสว่างมาแล้วสว่างไปก็มี

เกิดมาดูอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมมาเป็นพุทธภูมิมาตลอด เป็นพระโพธิสัตว์มา สุดท้ายแล้วเกิดเป็นลูกกษัตริย์ เกิดเป็นลูกกษัตริย์ใครไม่อยากออกมาทุกข์มายากหรอก เวลาเป็นลูกกษัตริย์ออกประพฤติปฏิบัติ ยังไม่มีศาสนาขึ้นมานี่ ออกไปก็เหมือนกับคนขอทานคนหนึ่งเท่านั้นล่ะ เขาจะให้อะไรก็แล้วแต่ เป็นแต่แล้วแต่เขาจะให้ เพราะอะไร เพราะไม่มีศาสนา ไม่มีคำว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่มีการให้ทาน ไม่มีการว่าบุญกุศลเป็นอย่างไร ไม่มีความเข้าใจ เขาก็ให้ประสาของเขา

ผจญภัย เห็นไหม สว่างมาแต่ต้องต่อสู้เป็นปัจจุบัน เป็นปัจจุบันคือว่าต้องต่อสู้ต้องแก้ไขของเรา ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนถึงที่สุดแล้วสิ้นกิเลส กิเลสตายออกไปจากใจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาถึงได้ปฏิญาณตนนะ พูดกับปัญจวัคคีย์ ปัญจวัคคีย์ไม่เชื่อเพราะอะไร เพราะความเห็นของเขา เห็นสภาวะเมื่อก่อนทำความเพียรมาก อดอาหารก็ไม่ได้ กลั้นลมหายใจจนสลบแล้วก็ไม่ได้ แล้วออกมาฉันอาหาร แล้วก็ปฏิบัติ เป็นผู้มักมากจะสำเร็จได้อย่างไร ขนาดว่าปัญจวัคคีย์ยังไม่เชื่อเลยว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว

จนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่เคยนะ คนอยู่ด้วยกัน พูดจากันไม่เคยโกหก มีหลักเกณฑ์ตลอด บอกว่าเธอเคยได้ยินได้ฟังไหมว่าเราสำเร็จแล้ว จนปัญจวัคคีย์ยอมเชื่อแล้วฟังขึ้นมา พอฟังขึ้นมาเทศน์ธัมมจักฯ ขึ้นมา อัญญาโกณฑัญญะตรัสรู้ธรรม ดวงตาเห็นธรรมพร้อมขึ้นมาเป็นพยานต่อกัน เป็นพยานต่อกันทั้งการเกิดและการตาย เพราะเราก็ทุกข์ยากเหมือนกัน

แต่เราไม่สามารถเป็นพยานเรื่องปัจจัตตัง เรื่องความเห็นจากภายในได้ เพราะเราประพฤติปฏิบัติยังไม่ถึงที่สุด ถ้าเราประพฤติปฏิบัติถึงที่สุด เราจะเป็นพยานกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเป็นอย่างนั้นจริง แล้วจะบอกว่าลึกลับซับซ้อนจริง นี่แก่นของศาสนา

ศาสนานี่ใจสัมผัส มันอยู่ที่ใจ ใจเวลาสัมผัสเข้าไปสัมผัสกับสิ่งนั้น เวลาทุกข์ๆ ที่ใจ เวลาสุขขึ้นมาเราปรนเปรอความสุข สุขเพราะความกระทบจากความสัมผัสอย่างหนึ่ง สุขเพราะความสัมผัส มันมีอามิสไง มันถึงพอใจไง เราต้องการสิ่งใด เราแสวงหาสิ่งใดเพื่อพอใจเรา พอใจเพื่ออะไร เพื่อความเสพ เสพการกระทบอายตนะทั้งหมด มันเป็นสิ่งกระทบขึ้นมา แต่จริงๆ แล้วสิ่งนั้นจะมีหรือไม่มีมันก็ทุกข์อยู่

อำนาจคือความร้อน อำนาจวาสนา อำนาจทุกอย่างทุกคนแสวงหาอำนาจ อำนาจมีแต่ไฟทั้งหมดเลยขึ้นไป แต่อำนาจนั้นก็มีประโยชน์ถ้าคนใจมันเป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมสมบัติเกิดกับเรามันจะเป็นประโยชน์กับเราหมดเลย สมบัติเกิดกับเรา เราสละเป็นทานก็ได้ เราทำคุณประโยชน์กับโลกก็ได้หมดเลย แต่ถ้าใจของเราไม่ดี สมบัติเกิดจากเราๆ เล่นการพนัน เราซื้อยาเสพติดมาเสพ เราจะเสียประโยชน์ มันก็เกิดจากเงินเหมือนกัน เงินถ้าคนเป็นประโยชน์คนใจเป็นคุณทำมันก็เป็นประโยชน์

อำนาจก็เหมือนกัน อำนาจที่เป็นธรรม ดูอย่างพระเจ้าพิมพิสารสิ แม้แต่ลูกจะปฏิวัติ ลูกอยากได้อะไร อยากได้เป็นกษัตริย์ เอาไปเลยลูก เอาไปเลยนะ แล้วอชาตศัตรูจับพ่อขังไว้ จับพ่อขังจะฆ่าก็ไม่กล้าฆ่าเพราะพื้นฐานของใจเป็นคนดีทั้งหมดเลย แต่เพราะคบเทวทัต เทวทัตสอนว่าให้ปฏิวัติ ให้ขอสมบัติจากพ่อ ลูกบอกว่าได้อยู่แล้ว พ่อต้องให้ลูกอยู่แล้ว พระเทวทัตบอกพระเจ้าอชาตศัตรูคนเราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ มันต้องเอาเดี๋ยวนี้ เอาเดี๋ยวนี้เลย ยุแหย่จนไปขออำนาจ จนจะไปปฏิวัติ เข้าไปนี่เขาจับได้ พกอาวุธเข้าไปจะไปฆ่าพ่อ เขาจับได้เพราะเขาถามไง ว่าเพราะเหตุใดจะปฏิวัติ ถึงตั้งกรรมการสอบ พอสอบแล้วกรรมการบอกว่าจะต้องฆ่าพระเทวทัตด้วย จะต้องฆ่าสงฆ์ทั้งหมด จะต้องฆ่าอชาตศัตรูด้วย เวลาเขาตัดสินกันแล้ว แล้วเอาเรื่องนี้ไปรายงานพระเจ้าพิมพิสาร

พระเจ้าพิมพิสารบอกว่าผิดทั้งหมดเลย ปล่อยเขาไป ไม่ได้ยินหรือพระสารีบุตรประกาศที่ราชคฤห์มาก่อนแล้วว่า แต่ก่อนพระเทวทัตเป็นสงฆ์เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า แต่ปัจจุบันนี้ให้พระสารีบุตรไปประกาศก่อนว่า การกระทำของพระเทวทัตนี่ไม่เกี่ยว เพราะพระพุทธเจ้ารู้อนาคตเลยว่ามันจะเกิดเหตุใดขึ้นมา ถึงว่าพระพุทธเจ้าประกาศแล้ว พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบันด้วย ไม่หวงในสมบัติเลย ยกให้ลูกเลย สมบัติยกให้ลูกเลย ลูกจะฆ่าก็ไม่กล้าฆ่าเพราะจิตใจพื้นฐานเป็นคนดี เป็นคนดีอยู่แต่หลงผิดไป ให้เอาพ่อไปขังแล้วอดอาหารจะให้ตายไปโดยธรรมชาติ จะฆ่าก็ไม่กล้าฆ่าจะปล่อยให้ตายเอง แต่ด้วยบุญกุศลเดินจงกรมอยู่ๆ ชีวิตมันก็อยู่ได้ยืนนาน เอามีดไปกรีดเท้าซะ ไม่ให้เดินจงกรม สั่งให้ทหารไปทำเพราะตัวเองไม่กล้าทำ

สุดท้ายวันที่พระเจ้าพิมพิสารจะตาย อำมาตย์มาบอกทั้งหมดเลย ฝ่ายหนึ่งมาบอกว่าลูกเกิดแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งมาบอกว่าพ่อตายแล้ว แล้วบอกว่าให้บอกใครก่อน บอกว่าให้ลูกก่อน บอกพระเจ้าอชาตศัตรูว่าลูกเกิดมาแล้ว ด้วยความผูกพันไง ด้วยความรักลูกบ้างไง พ่อเราก็ต้องรักเราอย่างนี้ ให้ปล่อยพ่อนะ สั่งให้ปล่อยพ่อ แต่สายไปแล้ว พ่อตาย อชาตศัตรูนี่เพราะคบมิตรเทียม

แต่ถ้าอชาตศัตรูไม่ปิตุฆาตไม่ฆ่าพ่อไว้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกอย่างน้อยต้องเป็นโสดาบัน อย่างน้อยต้องมีดวงตาเห็นธรรมแน่นอนเลย เพราะสุดท้ายศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เวลาฆ่าพ่อแล้วเสียใจมาก เพราะคบเทวทัตรู้ความผิดนะ จะให้พาหาอาจารย์ที่ถูกต้อง เขาพาไปไหนๆ ด้วยปัญญาของตัวนะก็ไม่ลงใครๆ จนหมอชีวกหรือไงนี่ บอกว่าพาไปหาพระพุทธเจ้า ไปหาพระพุทธเจ้าๆ เดินจงกรมอยู่ ในวัดสงัดมาก มันเงียบสงบมากเข้าไปนี่ เข้าไปนี่ระแวงนะ ระแวงว่าเขาจะหลอกตัวเองมาฆ่า ทำไมมันสงบขนาดนั้น พอสงสัยว่าจะหลอกมาฆ่า นี่พอคิดปั๊บหมอชีวกบอกเงียบๆ จุปากนะ เงียบๆ นะ เห็นไหมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ๆ เข้าไปฟังธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้นำทางนะ มันทุกข์ร้อนมากไง มันทำความผิดพลาดไป เพราะฆ่าพ่อไปมีความทุกข์มากมันฝังใจอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการจนเบาใจลงๆ ตอนหลังศรัทธาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาก เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานจะไปบอกข่าว อำมาตย์ต้องเตรียมไว้เลยนะ เตรียมเป็นรางยาสมุนไพรเอาไว้ในราง เวลาบอกนะ ถ้าบอกว่าพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วสลบนะ สลบแล้วฟื้นขึ้นมาๆ นี่มีความศรัทธาขนาดนั้นมาก แต่เพราะคบมิตรเทียม เพราะคบคนที่ว่าไม่เป็นความจริงถึงได้ผิดพลาดไปขนาดนั้น

กรรมอดีต กรรมปัจจุบัน มันมีเหตุผลส่งเสริมกันมา เราก็เหมือนกัน ถ้าเรามีกรรมของเราปัจจุบัน กรรมเราดี สิ่งที่เกิดอุบัติเหตุ สิ่งที่เกิดกับเรามันเป็นการกระทำทั้งหมด มันเป็นความผิดพลาดในปัจจุบัน ในปัจจุบันที่เราประพฤติปฏิบัติมันผิดพลาดไป มันทำไม่สมอะไร เพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสในหัวใจ ทุกคนมีกิเลสในหัวใจนะ กิเลสในหัวใจนี่เป็นอวิชชา อวิชชามีพลังงานอยู่ ธาตุรู้มันมีอยู่ แต่มันอวิชชาคือไม่รู้

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพลังงานอยู่เหมือนกัน แต่เป็นวิชชา เป็นวิชชาเพราะอะไร เพราะมีการประพฤติปฏิบัติ มีการใคร่ครวญเข้ามาย้อนกลับเข้ามาถึงภายใน มาชำระตัวอวิชชานี่ มันถึงความเห็นมันจะเป็นความถูกต้องไปทั้งหมด ถ้ามีความถูกต้องไปทั้งหมด เวลามันขยับออกมา ความคิดมันขยับออกมา สติมันพร้อมออกมา สิ่งนี้มันถึงเท่าทันความคิดของเราทั้งหมดเลย

รอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้ในกองสังขารตั้งแต่ภายนอก เราพิจารณาเข้ามาจากขันธ์ คือ ความคิด ความปรุง ความแต่ง มันเป็นความคิด มันเป็นขันธ์ มันหยาบมากนะ มันหยาบมากเพราะมันเป็นอารมณ์เกิดขึ้นมาจากใจ มันไม่ใช่ใจ มันเกิดดับๆ ในหัวใจ ตัวใจเป็นพลังงานตัวเดียว เป็นพลังงานเฉยๆ แล้วเวลามันคิดออกไปมันคิดเป็นธาตุเป็นขันธ์ออกไป เวลาเราต้อนขึ้นมา เรามาปฏิบัติเรายังทำได้ยากเลย

แต่เวลามันถึงที่สุดแล้วมันย้อนปล่อยเข้ามาถึงภายใน อวิชชาคือพลังงานเฉยๆ มันเป็นวิชชา พลังงานตัวนี้เป็นพลังงานตัวรู้ แล้วมันขยับออกไปมันจะทันออกไป สติสัมปชัญญะทันออกไปกันหมดเลย ถ้ามันคิดดี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะเทศนาว่าการ เวลาสั่งสอนเทศนา สั่งสอนเทวดา สั่งสอนพระ เวลาออกมามันก็เป็นขันธ์เหมือนกัน เป็นความคิดเหมือนกัน แต่ความคิดนี่เริ่มต้นมันเป็นความที่ถูกต้องแล้วใช้ความคิดเหมือนกัน ความคิดที่เป็นวิชชาไง วิชชาเป็นความที่ถูกต้องหมุนออกมาสั่งสอนสัตว์โลก สัตว์โลกก็เป็นประโยชน์จากอันนั้น

แต่ความคิดของเรามันมีกิเลส มันมีความเบียดบังของใจ ใจเรามันเบียดบัง มันไม่รู้ มันเป็นอวิชชา สิ่งที่เป็นอวิชชาพลังงานเหมือนกัน ไปรู้เหมือนกัน แต่รู้แบบไม่รู้ไง รู้ คือรู้แบบขันธ์ รู้แบบความรู้สึก มันรู้สึกมันส่งออก มันมีพลังงานเหมือนกัน แต่มันไม่รู้ตัวมันเองมันถึงย้อนออกไป มันผิดพลาดตรงนี้ มันยากๆ ตรงนี้ ยากตรงที่ว่าเราต้องย้อนกลับเข้ามาทำความสงบของใจๆ เราไป ทำความสงบของใจเข้ามาถึงจะพิจารณาจากหัวใจได้ พิจารณาเข้าไปจากภายในมันจะแก้กิเลสกัน แก้กิเลสจากภายใน มันถึงว่าเป็นปัญญาของเรา ถ้าปัญญาเราเกิดขึ้นมันจะย้อนกลับเข้ามาจากภายในแล้วจะพิจารณาไป

มโนกรรม กรรมที่เกิดขึ้น อุบัติเหตุกรรมต่างๆ เกิดขึ้นจากภายนอก เกิดขึ้นจากอำนาจวาสนา เกิดขึ้นจากผลของกรรม เกิดขึ้นจากความประมาทเลินเล่อของเรา ในปัจจุบันธรรมมันแก้กิเลสได้ อดีตอนาคตมันเป็นการส่งเสริมเป็นจริตนิสัยขึ้นมา มันก็ให้ผลออกมาเป็นความคิด เป็นจริต เป็นความนึกความคิด เป็นนิสัย เป็นความชอบ อันนั้นเป็นส่วนประกอบขึ้นมา

แต่ในปัจจุบันธรรม ในอุบัติเหตุในการเกิดขึ้นปัจจุบันนะ มันไม่มีกรรมก็ได้กรรมแต่อดีตไม่มี แต่ปัจจุบันเราทำผิดพลาด เราเอามีดฟันมือเราเองมันต้องเป็นแผลแน่นอน มันต้องมีบาดแผลขึ้นมาเพราะเราฟันตัวเราเอง ถ้าเราคิดเข้ามาอย่างนี้มันเป็นปัจจุบัน เราเอามีดฟันเราๆ ยังฟันได้เลย แล้วเราใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากการวิปัสสนาแล้วฟันไปที่หัวใจ มันขุดคุ้ยเข้าไปที่หัวใจ มันเป็นปัจจุบันธรรม มันย้อนกลับเข้าไปๆ เดี๋ยวนั้น กรรมปัจจุบันธรรมมันถึงเป็นกรรมที่ชำระกิเลสได้ไง กรรมอดีตอนาคตมีส่วน กรรมสิ่งต่างๆ มันมี

คนเราเกิดมันต้องตายไปตลอด จุตูปปาตญาณ ตายแล้วเกิดๆ มันต้องไปแน่นอน เพราะอะไร เพราะมันมีเหตุมีผล เหตุผลที่มันขับเคลื่อนไปนี่มันต้องทำให้เกิดสภาวะแบบนั้น แล้วเราทำลายเหตุอันนั้นหมดแล้ว ผลคือความสงบนิ่ง ความอิ่มของใจ ใจจะไปอีกไม่ได้เลย มันเป็นกรรมจากภายใน กรรมจากภายนอก เราเห็นแต่กรรมจากภายนอกเราก็ยังลังเลสงสัย มันจะมีจริงเหรอ กรรมสิ่งต่างๆ มันจะเป็นไปได้อย่างไร อันนี้มันเป็นเพราะมันมีเหตุมีผลของมันในปัจจุบันนี้ มันก็มีส่วน แต่ทำไมต้องเป็นเฉพาะเราคนเดียวล่ะ ทำไมคนอื่นไม่เป็นล่ะ คนอื่นมาด้วยกันกับเราทำไมแคล้วคาดล่ะ ทำไมไม่เป็นไปล่ะ กรรมมันไม่เหมือนกันหรอก

กรรมถึงเป็นเผ่าพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัย กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างกัน แล้วกรรมจะให้ผลตลอดไป แล้วเรามากำหนด เวลามาภาวนาเรากำหนดเข้ามาที่ใจ แล้วเรามาชำระใจของเรานี่ กรรมอันนี้มโนกรรม แล้วย้อนกลับเข้ามาชำระกิเลสได้ตามความเป็นจริง เอวัง